ที่อับอากาศ....จุดเสี่ยงถึงแก่ชีวิต ที่ไม่ควรมองข้าม

เผยแพร่เมื่อ: 12/02/2564....,
เขียนโดย อาจารย์แพทย์หญิงภัทราวลัย สิรินารา 
ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

เรื่อง ที่อับอากาศ....จุดเสี่ยงถึงแก่ชีวิต ที่ไม่ควรมองข้าม

          ในประเทศไทยพบรายงานผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยจากการทำงานในที่อับอากาศอยู่เป็นประจำส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะเสียชีวิตมากกว่าเจ็บป่วย และ บ่อยครั้งที่ผู้ลงไปช่วยเสียชีวิตจากข้อมูลกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบเหตุการณ์เสียชีวิตในพื้นที่อับอากาศ 19 เหตุการณ์ มีจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 60 ราย เสียชีวิต43 ราย (เสียชีวิตร้อยละ 72ของผู้ประสบเหตุทั้งหมด)

          หลายคนอาจคิดว่าบ่อบำบัดน้ำเสียดูไม่น่ามีอันตราย แต่แท้จริงแล้ว บ่อบำบัดน้ำเสียจัดเป็นสถานที่อับอากาศประเภทหนึ่งซึ่งภายในที่อับอากาศ สามารถมีสภาพบรรยากาศที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

          สถานที่เกิดเหตุมักเป็นบ่อน้ำลึกและแคบ ที่มีความลึกตั้งแต่ 2 เมตรขึ้นไป ได้แก่ บ่อบาดาล บ่อบำบัดน้ำเสีย และบ่อน้ำสำรอง โดยสาเหตุหลักเกิดจากการลงพื้นที่ไปเพื่อซ่อมแซม ท่อน้ำ วาล์วน้ำ ปั๊มน้ำ หรือทำความสะอาดในพื้นที่อับอากาศ เหตุการณ์เสียชีวิตต่อเนื่อง เกิดจากผู้ที่พบเห็นต้องการลงไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม

          คำจำกัดความของ“ที่อับอากาศ” คือที่ซึ่งมีทางเข้าออกจำกัด และการระบายอากาศไม่เพียงพอที่จะทำให้อากาศภายในอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยต่อการทำงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานตัวอย่างเช่น เหมืองแร่ ก๊าซและน้ำมัน อุโมงค์ ถ้ำ หลุม บ่อ อันตรายภายในที่อับอากาศที่อาจถึงแก่ชีวิต ได้แก่ ออกซิเจนไม่เพียงพอต่ำกว่าร้อยละ 19.5หรือ มีก๊าซพิษ เช่น ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือก๊าซไข่เน่า (H2S) ก๊าซมีเทนหรือก๊าซชีวภาพ (CH4)ก๊าซคาร์บอน มอนอกไซด์ สะสมอยู่ภายในที่ระดับความเข้มข้นสูงจนเกิดอันตรายมีก๊าซ ไอ ละออง ซึ่งติดไฟหรือระเบิดได้หากเข้มข้นเกินร้อยละ 10 ของความเข้มข้นที่อาจติดไฟหรือระเบิดได้ในอากาศ

          สภาพบรรยากาศเหล่านี้ไปทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดอากาศหายใจ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ มึนงง หายใจไม่ออก หมดสติ จนถึงเสียชีวิตได้ อันตรายดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่อับอากาศเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายต่อผู้ลงไปช่วยเหลือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

          กฎหมายไทยได้กำหนดให้นายจ้างต้องมีการตรวจวัดสภาพอากาศใน “ที่อับอากาศ” ก่อนเริ่มลงไปปฏิบัติงาน และระหว่างปฏิบัติงานในที่อับอากาศทุกครั้ง หากพบว่าสภาพบรรยากาศมีระดับออกซิเจนต่ำกว่าปกติคนทำงานต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจชนิดที่มีระบบจ่ายอากาศ เช่น ชนิดมีระบบจ่ายอากาศในตัวเสมอ(Self-contained breathing apparatus; SCBA) กรณีสภาพบรรยากาศมีความเข้มข้นของสารเคมีที่เป็นอันตรายเกินมาตรฐาน ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจชนิดปิดเต็มหน้า (Full-face respirator) หรือ ชนิดปิดครึ่งหน้า (Half-face respirator) และต้องจัดฝึกอบรมมาตรฐานความปลอดภัยให้ผู้ปฏิบัติงานในที่อับอากาศ

          ในเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่มีคนตกลงไปในที่อับอากาศผู้ลงไปช่วยเหลือจึงควรคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองด้วยเนื่องจากสภาพอากาศในที่อับอากาศสามารถทำให้คนที่ลงไปช่วยเสียชีวิตได้หากไม่มีอุปกรณ์ป้องกันผู้ลงไปช่วยเหลือจึงต้องสวมชุดอุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ หน้ากาก ถังออกซิเจน และใช้มาตรฐานความปลอดภัยในที่อับอากาศตลอดเวลาการเข้าช่วยเหลือได้แก่ใส่ห่วงยางชูชีพซึ่งอีกข้างผูกตรึงกับตำแหน่งนอกบริเวณพื้นที่อับอากาศ หรือติดตั้งระบบรอกผูกระหว่างผู้ลงไปช่วยเหลือกรณีพื้นที่อับอากาศตำแหน่งนอกบริเวณพื้นที่เสี่ยงมีบันไดราวกันตก หมั่นตรวจตราอุปกรณ์ช่วยเหลือเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา และใช้ระบบคนช่วย2 คน(buddy system) โดยคนที่อยู่นอกพื้นที่พร้อมจะเข้าช่วยเหลืออีกคนได้ทันทีหากเกิดเหตุฉุกเฉินขณะช่วยเหลือผู้ประสบเหตุมาตรการเหล่านี้จะช่วยลดการสูญเสียชีวิตลงได้

          โรคประจำตัวที่ต้องระวังเป็นพิเศษสำหรับการทำงานในที่อับอากาศ ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลมชัก เหตุผลเพราะเมื่อลงไปในที่อับอากาศ อาจพบกับสภาวะขาดอากาศและประสบอันตราย เมื่อแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ตรวจประเมินแล้วอาจไม่อนุญาตให้ทำงานในที่อับอากาศเพื่อลดความเสี่ยงดังนั้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจของนายจ้าง แนะนำว่าคนทำงานในที่อับอากาศควรได้รับการตรวจประเมินสุขภาพอย่างน้อยทุก 1 ปี

 

Visitors: 365,504