ฟ้องใครได้บ้าง หากได้รับผลกระทบจาก “อุบัติเหตุงานก่อสร้างภาครัฐ” ?

เผยแพร่เมื่อ 29/10/2568
เขียนโดย มิสเตอร์เซฟตี้

เรื่อง ฟ้องใครได้บ้าง หากได้รับผลกระทบจาก
“อุบัติเหตุงานก่อสร้างภาครัฐ” ?

 

          คงเป็นคำถามที่หลายๆ ท่าน คงมีคำถามเหล่านี้เกิดขึ้นในความคิดบ้างไม่มากก็น้อย อุบัติเหตุงานก่อสร้างภาครัฐมีให้เห็นกันบ่อยบนหน้าฟีดข่าวของคนไทย สร้างความเสียหายไม่มากก็น้อยแก่ประชาชนกับคนงานในพื้นที่แทบทุกครั้ง
          
หลายโครงการของภาครัฐต่างๆ ล้วนจัดซื้อจัดจ้างบริษัทผู้รับเหมาเอกชน โดยหน่วยงานของรัฐฯเป็นเจ้าของโครงการ ตัวอย่างเช่น กรมทางหลวง การทางพิเศษฯ เป็นต้น ที่มีโครงการที่จะส่งผลกระทบกับชุมชนโดยตรง เพราะเป็นการสร้างถนน สะพาน ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างอาคารสถานที่ของหน่วยงานภาครัฐ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แม้แต่กรุงเทพมหานครเอง
          
จากบทความให้หัวข้อเดียวกัน ในบทความ on-line Thai PBS, ฟ้องใครได้บ้าง หากได้รับผลกระทบจาก “อุบัติเหตุงานก่อสร้างภาครัฐ” ? เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 Thai PBS โดย พีรชัย พสุทันท์ ได้ยกประเด็นและการเรียกร้องค่าเสียหายจากอุบัติเหตุในอดีตมาให้พิจารณาดังนี้ครับ

อุบัติเหตุงานก่อสร้างภาครัฐ = ความประมาทของหน่วยงานรัฐและเอกชน
          
เมื่อเกิดอุบัติเหตุงานก่อสร้างภาครัฐจนมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 227 ระบุไว้ว่า หากใครออกแบบ ควบคุม ก่อสร้าง ซ่อมแซม หรือรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างใด ๆ โดยไม่ทำตามหลักเกณฑ์หรืออาจทำให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้บาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต โทษสูงสุดคือจำคุก 25 ปีและปรับ 400,000 บาท ตามมาตรา 238 แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยประมาท และเสี่ยงที่จะทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ชีวิต ก็จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา 239
          
ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุงานก่อสร้างภาครัฐยังสามารถฟ้องแพ่งบริษัทผู้รับเหมาและหน่วยงานรัฐในฐาน ‘ละเมิด’ ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 มีใจความว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อจนทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายในชีวิตหรือทรัพย์สิน ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน นอกจากนี้ ตัว ‘หน่วยงานรัฐ’ ยังอาจเข้าค่ายความผิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 เนื่องจากเลินเล่อในการกำกับดูแลความปลอดภัยของไซต์งานก่อสร้างภาครัฐ ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่รัฐกระทำนอกอำนาจหน้าที่จนเกิดอุบัติเหตุ ก็จะถูกฟ้องโดยตรงตามมาตรา 6
          
พีรชัย พสุทันท์ ผู้เขียนบทความได้ยกตัวอย่าง เมื่อมีคดีความเกี่ยวกับอุบัติเหตุงานก่อสร้างภาครัฐ ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาตัดสินและออกคำสั่งถึงหน่วยงานรัฐผู้ถูกฟ้องคดี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 หมวด 3 ซึ่งว่าด้วยคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือการละเลยต่อหน้าที่ของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ศาลปกครองก็ได้ตัดสินคดีความในลักษณะนี้จนถึงที่สุดอยู่หลายคดี ในที่นี้ จะยกเพียงตัวอย่างคำตัดสินที่หน่วยงานรัฐต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย เพื่อให้เห็นแนวทางการพิจารณาคดีของศาลฯ แบบคร่าว ๆ
          
เมื่อปี 2556 ผู้ใช้รถใช้ถนนคนหนึ่งชนกับขอบปูนข้างทางบนถนนเอเชียขาเข้ากรุงเทพฯ เพราะมองไม่เห็นการซ่อมบำรุงถนนช่วงกลางคืน จึงมีการฟ้องร้องต่อกรมทางหลวง เมื่อศาลฯ พิจารณาข้อเท็จจริง พบว่าผู้รับเหมาไม่ได้ติดตั้งไฟส่องทางหรือวางกรวยให้ผู้สัญจรเห็นชัดเจน ถือได้ว่ากรมทางหลวงละเลยต่อการดูแลความปลอดภัยของโครงการบูรณะเส้นทาง และต้องรับผิดชอบในอุบัติเหตุครั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษายืนให้กรมทางหลวงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 41,750 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามคำวินิจฉัย อ.219/2561
          
ในปี 2556 ปีเดียวกันนั้น ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เกิดเหตุลวดสลิงขึงสะพานสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ขาด ทำให้รถจักรยานยนต์คันหนึ่งตกลงและมีผู้เสียชีวิต 1 คน แม้บริษัทผู้รับเหมาจะใช้วัสดุก่อสร้าง ‘ผิดสเปก’ และไม่ได้แจ้งให้เทศบาลฯ เจ้าของโครงการปิดสะพานเพื่อรอการซ่อมแซม แต่เทศบาลฯ นั้น รู้อยู่ถึงปัญหาของสะพานดังกล่าวอยู่แล้ว และไม่สั่งปิดการใช้งานสะพานเอง จึงถือว่าเทศบาลฯ ละเลยต่อหน้าที่ โดยต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องร้องเป็นเงิน 71,200 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด อผ.126/2566
          
อีกตัวอย่างหนึ่ง คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ 2565/2566 ระบุให้กรมทางหลวงชดใช้แก่บิดา-มารดาของผู้เสียชีวิตจากเหตุคานปูนสะพานกลับรถบนถนนพระราม 2 หล่นทับในปี 2565 เนื่องจากศาลฯ เห็นว่า นายช่างโครงการขาดความระมัดระวังในการควบคุมความปลอดภัยงานก่อสร้างจริง อุบัติเหตุครั้งดังกล่าวจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ทั้งนี้ เหตุผลที่บุพการีของผู้เสียชีวิตอ้างว่า ควรได้รับค่าขาดไร้อุปการะและค่าชดใช้อื่น ๆ เป็นเงินกว่า 12 ล้านบาทนั้น ฟังไม่ขึ้น ศาลฯ จึงกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามสมควร รวมทั้งอยู่ที่ 920,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แทน
          
จากตัวอย่างที่ พีรชัย พสุทันท์ ได้ยกมาให้ดู ถ้ามาเปรียบกับตัวเราเอง จะเห็นว่าค่าชดใช้ค่าเสียหาย และ/หรือ ค่าสินไหมทดแทน โดยส่วนใหญ่แทบจะเป็นตัวเลขที่ยอมรับไม่ได้เลย และเมื่อเทียบความพยายาม ความสามารถ โอกาสในเรื่องความรู้ความเข้าใจในด้านสิทธิ์และโอกาสในด้านเวลา ที่ต้องใช้ในการดำเนินการทางละเมิดตามกฎหมายฯ

ถ้ามามองในมิติของคนทำงาน ตาม พ.ร.บ. ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ในมาตรา 3

          “มาตรา ๓ พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่
               
(๑) ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น
               
(๒) กิจการอื่นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
               "
ให้ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และกิจการอื่นตามที่กําหนด ในกฎกระทรวงตามวรรคหนึ่ง จัดให้มีมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานในหน่วยงานของตนไม่ต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ตามพระราชบัญญัตินี้”
               ดังนั้น นายจ้าง (เจ้าของเงิน แม้เป็นหน่วยงานภาครัฐ) ไม่สามารถปฎิเสธความรับผิดชอบจากการจ้างผู้รับเหมา การไม่ใส่ใจดูแล โดยเฉพาะปล่อยปะละเลยให้เกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุขึ้นซ้ำซาก ถ้ามาพิจารณาในมาตราต่างๆ ของ พ.ร.บ. ความปลอดภัยฯ ฉบับนี้ จะเห็นว่า นายจ้าง ฐานะเจ้าของเงิน (ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ) อย่างไรก็ปฏิเสธ ความ “รับผิด” ไปไม่ได้
               
และถ้ามาพิจารณาในกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๔ ในเรื่องนี้เอง และกฎกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้องหลายๆ ฉบับ ได้มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน และเป็นระบบ สาเหตุรากเหง้าหลักๆ มีอยู่ 3 ประเด็น คือ 1. ไม่มีมาตรการหรือโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุ (ไม่ให้ความสำคัญ) 2. มีมาตรการหรือโปรแกรมแต่ยังไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ดีพอ (ไม่จริงจัง ไม่เอาจริง) และ 3. มาตรการหรือโปรแกรม แต่คนไม่ทำตามมาตรการนั้น (ละเลย ไม่ใส่ใจ) ถึงแม้ว่ากฎหมายฯจะมีการกำหนดไว้ชัดเจน แต่ก็พบข้อจำกัดของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องขาดงบประมาณและบุคลากรเพียงพอ

          ในความเห็นของผู้เขียนจะเห็นว่า ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค หรือแม้แต่องค์กรวิชาชีพ จะต้องเป็นตัวเร่ง (Catalyzer) อาจใช้ ม. 157 กับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อกระตุ้น รณรงค์และบังคับให้ดำเนินการตามหน้าที่ แต่อย่างไรในประเด็นนี้ต้องหาผู้รู้ทางกฎหมายฯ มาศึกษาและให้คำปรึกษาในการดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะการเขียนกฎหมายฯ มีมิติและประเด็นปลีกย่อยมาก ทั้งการตีความ (กัดคำ) ตามกฎหมายฯ เพื่อมาโต้แย้งและไม่เปลี่ยนแปลงการปฎิบัติ การขับเคลื่อนเรื่องนี้ต้องรอบครอบ ก็ขึ้นว่าประชาชน และผู้เกี่ยวข้อง จะทนได้นานเท่าใด และจะสามารถตระหนักตื่นรู้และสามารถดำเนินการได้เมื่อไรครับ
          ผู้เขียนเองเชื่อว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเผือกร้อน ที่ไม่มีใครอยากจะเข้ามารับผิดชอบ ส่งผลให้ไม่สามารถเอาผิดใครได้ นอกจาก วิศวกรผู้ออกแบบ และคำนวณทางวิศวกรรมในเรื่องความสามารถในการรับน้ำหนัก และ/หรือ การควบคุมงานก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานต่างๆ เพราะเมื่อมีคนตาย และบาดเจ็บ เป็นข่าวใหญ่โต เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยากที่จะปฏิเสธการต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งได้ และหลายครั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นมิได้สร้างการเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานได้เลย
          ความสูญเสียจากการบาดเจ็บ ล้มตาย ทรัพย์สินเสียหาย ธุรกิจหยุดชะงักงัน และความหวาดหวั่นในความปลอดภัยในชีวิต ไม่สามารถเป็น “บทเรียน” “ตัวกระตุ้น” และ “เป็นปัญญา” ที่จะช่วยกันหาทางป้องกัน แก้ไข ออกแบบใหม่ หรือแม้แต่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของผู้เกี่ยวข้องแบบเดิมๆ ได้เลย ก็น่าจะเป็นความสูญเสียที่ไม่คุ้มค่าเสียเลย

Visitors: 501,945