งานเคลือบและป้องกันพื้นผิว (Coating protection surface)

เผยแพร่เมื่อ:  17/09/2564
เขียนโดย คุณอนุชา ฉิมเชิด
               ผู้จัดการหน่วยงานความปลอดภัยในการทำงาน 
               
บริษัท เดบโบราห์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด...,

 

เรื่อง งานเคลือบและป้องกันพื้นผิว (Coating protection surface)  

ประเภทสีทนไฟ (Fire Proofing) หรือเรียกอีกอย่าง PFP (Passive Fire Protection)    

          ต่อเนื่องจากตอนที่แล้วกล่าวถึงการทำการเคลือบผิวโลหะและได้กล่าวถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในกระบวนการปฏิบัติงานประเภท การเคลือบด้วยสีชนิด อิพ๊อกซี่ (Epoxy) ไปแล้วนั้น ครั้งนี้จะเพิ่มเติมกระบวนการและอันตรายที่จะเกิดจากการปฏิบัติงานกับ สีทนไฟ (Fire Proofing) โดยจะมีขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติดังนี้

          เหตุผลที่ต้องใช้การปกป้องพื้นผิวด้วยวัสดุป้องกันไฟคือ กรณีที่เกิดเพลิงไหม้กับโครงสร้างที่รองรับอุปกรณ์ที่สำคัญๆ เช่น แท่นขุดเจาะ ฐานที่รับน้ำหนักของถังเก็บวัตถุดิบจากกระบวนการผลิต ห้องควบคุมระบบ สิ่งต่างๆเหล่านี้เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นต้องการหน่วงเวลาเพื่อจะมีโอกาสแก้ไขสถานะการณ์ได้ ปกติแล้วจะได้ประมาณ 2- 3 ชั่วโมง เช่นถ้าไฟไหม้แท่นขุดเจาะผลิตน้ำมันและก๊าช ถ้าเกิดไฟไหม้ความร้อนที่เกิดขึ้นจะมีความร้อนสูงมากจนทำให้โครงสร้างที่เป็นโลหะได้รับความร้อนโดยตรงจะมีและเสียรูปทรงพังถล่มลงมาในกรณีที่ฐานล่างที่ไม่ได้เคลือบ (Fire Proofing) โดยมีเวลาน้อยมากเพื่อที่จะทำการกู้ภัย ช่วยเหลือ ปิดระบบ หรือทำการดับเพลิงเพื่อลดความรุนแรงและอพยพผู้ปฏิบัติงานออกจากพื้นที่ได้ทัน

  

          ขั้นตอนการทำสีเคลือบป้องกันไฟ เริ่มต้นจากการเตรียมพื้นผิวจากการพ่นทราย (Sand Blast) และรองพื้นด้วยสีประเภทป้องกันสนิม (Spray painting Primer) จากนั้นเคลือบด้วยสีทนไฟ ทำได้ 2 วิธี คือการพ่นด้วยเครื่อง PFP Pump และฉาบด้วยมือ จะเลือกใช้วิธีไหนขึ้นอยู่กับลักษณะของชิ้นงาน ทั้งสองวิธีนี้ทำเพื่อให้วัสดุเคลือบไปติดกับชิ้นงานเช่นเดียวกับการฉาบปูนที่ผนัง แต่ขั้นตอนที่สำคัญคือการใช้ลูกกลิ้งรีดให้เนื้อสีของ PFP อัดแน่นจับกับพื้นผิวและได้ความหนาตามข้อกำหนดลักษณะ (Specification)

          ในเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน
                    
o   การปฏิบัติงานที่ต้องมีการสัมผัสสารเคมีในรูปแบบของสารตัวทำละลาย (Solvent) สารที่เป็นส่วนผสมในวัสดุเคลือบจะระบุใน SDS ของสารเคลือบเช่น Xylene, Benzene, Polymer of epoxy resin, Solvent naphtha.
                    
o   กลิ่นของสีที่ใช้ทำ Fire Proofing จะมีกลิ่นที่รุนแรงจะมีผลกระทบต่อผู้ปฎิบัติงานต้องบสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจตลอดเวลา และส่วนใหญ่มักจะทำในพื้นที่เปิดโล่งเพื่อให้อากาศลมธรรมชาติช่วยระบายแต่ก็จะมีผลกระทบกับกลุ่มงานอื่นที่ปฏิบัติงานบริเวณใกล้เคียงที่ตัวผู้ปฏิบัติไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน
                    
o   น้ำหนักของวัสดุฉาบสีกันไฟ จะใช้ในปริมาณต่อพื้นที่มีน้ำหนักมากเพราะเนื่องจากต้องการความหนาของสีที่เคลือบทับพื้นผิวต้องระมัดระวังในการยก เคลื่อนย้าย การเมื่อยล้าจากทำงาน
                    
o   การลื่นสะดุดล้มเนื่องจากสีจะมีลักษณะเหนียวเป็นก้อนเมื่อพ่นออกไปบางส่วนที่ไม่จับชิ้นงานก็จะร่วงลงพื้นจึงต้องมีการปิดคลุมพื้นเพื่อไม่ให้สีไปติดที่พื้นหรือนั่งร้านวัสดุปูพื้นมีหลายชนิดเช่น ผ้าฟาง (Blue Sheet) ผ้าใบ(Canvas) วัสดุกันไฟลาม (Monarflex) การปูพื้นจะปูทับช่องเปิดเล็กๆของแผ่นพื้นนั่งร้าน พื้นต่างระดับ ขณะปฏิบัติงานต้องระมัดระวังการสะดุดล้ม
                    
o   การใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (Personal Protection Equipment) โดยเฉพาะอุปกรณ์ป้องกันระบบการหายใจต้องเหมาะสมกับลักษณะงาน

          การประเมินความเสี่ยงในงานพ่นเคลือบ Fire Proofing
          
เป็นความเสี่ยงจากแหล่งกำเนิดพลังงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับลักษณะงานที่เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ ประกอบไปด้วย
                    o 
สารเคมี (Chemical) จากการสัมผัสกับสีหรือวัสดุที่ใช้ในการพ่นจึงต้องมีอุปกรณ์ป้องกันการเข้าสู่ร่างกายของสารเคมีที่ใช้ อย่างครบถ้วนประกอบไปด้วย แว่นครอบดวงตา (Goggle)  และหน้ากากกรองสารเคมีชนิดมีตลับกรอง ชุดคลุมป้องกันละอองสี (Chemical suit) ถุงมือยาง (Rubber Gloves) รองเท้า(Boots)

                    จป.จะต้องเตรียมความพร้อมในขั้นตอนนี้คือ
                              -  
ตรวจสอบอุปกรณ์ป้องกันที่ใช้ในงานฉาบพ่นสีทนไฟเป็นไปตามข้อกำหนดในการปฏิบัติงานและการเลือกใช้ชนิดอุปกรณ์ตรงกับลักษณะการใช้งานหรือ (Specification) การเลือกชนิดตลับกรองให้เหมาะสมกับสารเคมีที่ใช้ เช่น กรองสารอินทรีย์ (Organic Vapor)
                              -  
การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันดวงตาต้องใช้ชนิดที่ปิดครอบดวงตาทั้งหมดไม่อนุญาตให้ใช้แว่นตาหรือพ่นสีด้วยตาเปล่า  
                              - 
การเลือกใช้ถุงมือต้องทำด้วยวัสดุที่มีความทนทานต่อการการทำปฏิกิริยาจากสารเคมี ได้เช่น ถุงมือ  ไนไตร (Nitrile Gloves)
                              - 
อย่าลืมศึกษา SDS ของสารเคมีที่ใช้และทำการแนะนำพนักงานก่อนเริ่มปฏิบัติงาน

                    o แรงดัน (Pressure) เนื่องจากวัสดุที่นำมาใช้เคลือบจะเป็นสารทีมีส่วนผสมที่มีความหนืดและบางชนิดมีน้ำหนักมาก ฉนั้นแรงดันที่จะใช้พ่นจึงต้องมีแรงดันสูง ต้องระมัดระวังในการปรับเพิ่มแรงด้นอาจจะทำให้ท่อส่งสีแตกหรือข้อต่อสายลมหลุด

                    จป.จะต้องเตรียมความพร้อมในขั้นตอนนี้คือ
                              - 
ตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้งานต้องมีการตรวจสอบสภาพพร้อมใช้งาน สายลม สายพ่นสี จุดต่อสาย อุปกรณ์ความปลอดภัยที่ใช้ประกอบกับอุปกรณ์พ่นสี  อุปกรณ์วัดค่าแรงดัน (pressure Gage) วาล์วควบคุมแรงดัน (Release Valve)
                              - 
ตรวจสอบเอกสารรับรองการตรวจสอบเครื่องจักร เครื่องพ่น PFP

                    o การยศาสตร์ (Ergonomic) การปฏิบัติงานที่มีพื้นที่จำกัด ต้องมีการก้มตัว ปีนขึ้นลงตามลักษณะงาน การปฏิบัติในพื้นที่คับแคบ 

                    จป.จะต้องเตรียมความพร้อมในขั้นตอนนี้คือ
                              - 
ตรวจสอบพื้นที่การปฏิบัติงานตำแหน่งที่พนักงานยืนพ่นสียืนได้ถนัดมั่นคงลักษณะ
                              - 
ประสานงานกับหัวหน้างานถึงแผนการปฏิบัติงานกำหนดเวลาเข้า และเวลาออก เพื่อควบคุมระยะเวลาในการปฏิบัติงานของพนักงานให้สัมพันธ์กันกับลักษณะความยากง่ายของพื้นที่ปฏิบัติ ระยะเวลาที่ไม่เกิดอันตรายในการสัมผัสสารเคมี

          สิ่งสำคัญอีกอย่างคือเรื่องการประสานงานกับกลุ่มงานอื่นที่มีกิจกรรมในพื้นที่เดียวกันกับงาน Fire Proof ซึ่งแม้ชื่อจะบอกว่าเป็นสีป้องกันไฟ แต่ขณะทำการเคลือบกระบวนการที่ทำงานต้องใช้สารเคมีที่ไวไฟเช่นทินเนอร์และถ้าบริเวณใกล้ๆมีงานเชื่อมโลหะ(Hot work) ก็จะทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้นได้จากประกายไฟนั้น  ติดตามต่อใน ตอนที่ 4 ครับ


Visitors: 365,790